ดูได้ที่
https://youtu.be/GsNAEXnWpGg?si=8W47cGMDvVtghjgFเมืองสิง ไทลื้อแห่งอาณาจักรเชียงแขง I ประวัติศาสตร์นอกตำรา EP.255
เมืองสิง เมืองชายแดนเล็ก ๆ ของแขวงหลวงน้ำทา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ สปป.ลาว เป็นเมืองสำคัญมาตั้งแต่อดีต เพราะเคยเป็นที่ตั้งศูนย์กลางอำนาจสุดท้ายของรัฐเชียงแขง รัฐไทลื้อเล็ก ๆ ที่ปกครองด้วยระบบเจ้าฟ้าในลุ่มน้ำโขงตอนบน ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนทั้งในพม่าและลาว แต่ต่อมาเชียงแขงก็ต้องล่มสลายลงด้วยการตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และกลายเป็นส่วนหนึ่งของ สปป.ลาวในปัจจุบัน
ในปี พ.ศ.2347 เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ร. 1 ทรงสถาปนากรุงเทพ ฯ แล้ว พระองค์โปรดให้กองทัพหัวเมืองเหนือยกขึ้นไปทำลายอิทธิพลของพม่าในดินแดนเชียงตุง และเชียงรุ่ง โดยแบ่งการโจมตีออกเป็นสองส่วน
กองทัพเชียงใหม่ และลำปางยกขึ้นไปทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขง เข้าตีเมืองยอง และเชียงตุง
ส่วนกองทัพเมืองน่าน และหลวงพระบางยกขึ้นไปทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขง มุ่งสู่ดินแดนเชียงรุ่ง สิบสองปันนา
การยกทัพไปตีดินแดนสิบสองปันนา เมืองเชียงรุ่งไม่ต่อสู้ขัดขืน ในคราวนั้นกองทัพน่าน และหลวงพระบางสามารถตีเมืองน้อยใหญ่ได้ 11- 12 เมือง รวมถึงเชียงแขง และยังกวาดต้อนผู้คนลงมาได้ราว 4-5 หมื่นคน
กองทัพน่านยังยกเข้าตีเชียงแขงอีกครั้งในปี 2356 ตรงกับสมัย ร.2 ของไทย ครั้งนั้นเจ้าสุมนเทวราช ผู้ครองนครน่านได้เกณฑ์เจ้าเมืองและราษฎรเกือบทั้งหมดลงมา จนเชียงแขงแทบกลายเป็นเมืองร้าง โดยปัจจุบันยังปรากฏชาวลื้อจำนวนมากจากเชียงแขงตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตเมืองน่านมาจนถึงทุกวันนี้
ในราว พ.ศ. 2403 เมืองเชียงแขงย้ายหอคำและศูนย์กลางอำนาจข้ามแม่น้ำโขงไปยังฝั่งตะวันตกที่เมืองยู้ ตั้งชื่อว่า “เวียงจอมทอง” ปัจจุบันอยู่ในเขตรัฐฉานของพม่า
ต่อมา ในปี พ.ศ.2426 ตรงกับสมัย ร. 5 ของไทย เจ้าฟ้าสะหรีหน่อคำได้อพยพผู้คนไทลื้อ และไทเหนือราว 1,000 คน จากเมืองยู้ มาร่วมกันสร้างศูนย์กลางอำนาจแห่งใหม่ขึ้นที่เมืองสิง ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขง อันเป็นดินแดนที่เวลานั้นอยู่ภายใต้อำนาจของเมืองน่าน ซึ่งน่านอยู่ภายใต้อำนาจสยามอีกทอดหนึ่ง
เมื่อย้ายศูนย์กลางเชียงแขงมาที่เมืองสิงแล้ว ในปี พ.ศ. 2432 ด้วยการเชื้อเชิญผ่านเมืองน่าน เจ้าฟ้าสะหรีหน่อคำได้จัดส่งเครื่องราชบรรณาการลงไปถวายต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อขอเป็นเมืองในขอบขัณฑสีมาของสยาม
ในปี พ.ศ.2433 เมื่ออังกฤษขยายอำนาจเข้าปกครองรัฐฉานไว้ได้แล้ว การเปิดเจรจาเรื่องดินแดนกับสยามในราวต้นปี พ.ศ. 2434 ซึ่งรวมถึงสถานะของรัฐเชียงแขงก็ได้เริ่มขึ้น เพราะอังกฤษต้องการจะเข้าควบคุมเส้นทางการค้าสำคัญที่เชื่อมโยงโดยตรงจากพม่ากับทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน
การเจรจาที่ยังไม่ได้ข้อยุติระหว่างสยามและอังกฤษเกี่ยวกับสถานะของเชียงแขงถูกชะลอออกไป จนกระทั่งในช่วงต้นปี 2435 ได้เกิดอีกหนึ่งขั้วอำนาจยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นั่นคือ “ฝรั่งเศส”
ต่อมาเมื่อเกิดเหตุการณ์ ร.ศ 112 หรือวิกฤตการณ์ปากน้ำ เป็นเหตุให้ไทยยอมทำความตกลงฝรั่งเศส-สยามในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2436 สยามต้องสละสิทธิทั้งหมดในดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง รวมทั้งเกาะต่าง ๆ ในแม่น้ำให้แก่ฝรั่งเศส ซึ่งนั่นหมายถึงเชียงแขงได้กลายเป็นดินแดนที่ตกอยู่ภายใต้ฝรั่งเศสไปโดยปริยายตามข้อตกลงที่ว่านั้น
ในเดือนมกราคม 2438 ตัวแทนของอังกฤษและฝรั่งเศสได้พบกันที่เมืองสิง เพื่อตกลงกันเรื่องดินแดนเชียงแขง แต่ในที่สุดอังกฤษก็สั่งทหารจากเชียงตุงให้เข้าบุกยึดเมืองสิงไว้ เป็นเหตุให้เจ้าฟ้าสะหรีหน่อคำต้องหนีไปยังเมืองหลวงน้ำทาดินแดนอิทธิพลของฝรั่งเศส
ความขัดแย้งเรื่องเชียงแขงระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส สิ้นสุดลงในเดือน พ.ค.ปี 2439 ทั้งสองฝ่ายตกลงทำอนุสัญญากำหนดการแบ่งอาณาเขตโดยใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งแดน ทำให้รัฐเชียงแขงถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขง ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ส่วนด้านตะวันออก รวมถึงเมืองสิงห์ ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของฝรั่งเศส
เมื่อกองทัพอังกฤษก็ถอนตัวออกจากเมืองสิงกลับไปพม่าแล้ว ไม่นานเจ้าฟ้าสะหรีหน่อคำก็กลับเข้าสู่เมืองสิง อันมีสถานะใหม่ในฐานะรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส
เจ้าฟ้าสะหรีหน่อคำปกครองเมืองสิงอีกเพียงไม่นาน ก็สิ้นพระชนม์ลงด้วยโรคมะเร็งหัวเสือที่จมูกในปี 2443 หลังจากนั้น “เจ้าฟ้าองค์คำ” รัชทายาทองค์โตก็ขึ้น สืบราชสมบัติแทน แต่อีกเพียง 7 ปีต่อมา เจ้าฟ้าองค์คำก็ต้องหนีไปยังเมืองเชียงรุ่ง หลังพยายามคิดการกบฏต่อฝรั่งเศสและได้สิ้นพระชนม์ลงที่นั่น จากนั้นฝรั่งเศสได้เข้าปกครองเมืองสิงโดยตรง นับเป็นการสิ้นสุดระบบเจ้าฟ้าแห่งรัฐเชียงแขงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ฝรั่งเศสได้รวมเมืองสิง และเมืองไทลื้อที่เหลืออยู่มาขึ้นกับอาณาจักรล้านช้างร่มขาว กระทั่งเมื่อลาวได้รับเอกราช เมืองสิงจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของสปป.ลาว มาจนถึงปัจจุบัน